สเปน มีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเทือกเขาพิรินี ชนชาติต่าง ๆ ได้เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนที่เป็นประเทศสเปนตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น เคลต์ ไอบีเรียน โรมัน วิซิกอท เเละมัวร์ในยุคกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมเป็นเวลาอย่างน้อยห้าร้อยปี ชาวมัวร์ยังคงหลงเหลืออยู่ในคาบสมุทรไอบีเรีย
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1492 (พ.ศ. 2035) ซึ่งเป็นปีที่ราชอาณาจักรกัสติยา เเละอารากอนสามารถขับไล่ชาวมัวร์ออกไปได้สำเร็จหลังจากเกิดกระบวนการพิชิตดินแดนคืนที่ยาวนานถึง 770 ปี เเละในปีเดียวกัน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสยังได้ค้นพบโลกใหม่ นำไปสู่การกำเนิดจักรวรรดิสเปนที่แผ่ขยายไปทั่วโลก สเปนกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรปขณะนั้น แต่สงครามที่มีอย่างต่อเนื่อง เเละปัญหาอื่น ๆ ก็ทำให้ความยิ่งใหญ่ของประเทศลดลงไป
ประเทศสเปนเป็นประเทศที่ในแต่ละปีนักท่องเที่ยวนิยมไปเป็นจำนวนมาก ก็เพราะว่าประเทศนี้ได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามไม่ว่าเป็นเมืองต่างๆ ซึ่งจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทางธรรมชาติ หรือสโมสรฟุตบอล เเละนอกจากนี้เสน่ห์ของประเทศนี้ยังอยู่ที่การแข่งขันมาทาดอร์
ซึ่งเป็นกีฬาที่นักมาทาดอร์ต้องต่อสู้กับวัวกระทิง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่กลายมาเป็นเอกลักษณของความเป็นสเปนจนทุกวันนี้
จรดทะเลกันตาบริโก ราชรัฐอันดอร์รา เเละประเทศฝรั่งเศส
จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลต้า เเละมหาสมุทรแอตแลนติก
จรดประเทศโปรตุเกส เเละมหาสมุทรแอตแลนติก
ประเทศสเปน เวลาจะช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 5 ชั่วโมง ในช่วงฤดูร้อน (Daylight Saving time) เเละเวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมงในช่วงฤดูหนาว
ในช่วงหน้าร้อนนั้นกลางวันจะยาว พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ก่อน 6 โมง เเละตกประมาณ 2 ทุ่ม ส่วนในหน้าหนาวนั้นพระอาทิตย์ขึ้นหลัง 6 โมงเช้า เเละตกประมาณ 6 โมงเย็น
ภาษาสเปน
ร้อยละ 75 ของประชากรทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ส่วนที่เหลือจะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปแตสแตนท์ เเละศาสนาอิสลาม
ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ใช้สกุลเงิน ยูโร (€) (EUR)
สเปนใช้ระบบไฟฟ้า 230 V, 50 Hz เหมือนประเทศไทย แต่ปลั๊กไฟจะเป็นแบบมีหัวกลมคู่กับคลิปสำหรับกราวด์ 1 ด้าน
*หากนำอุปกรณ์ไฟฟ้าจากประเทศไทยไปใช้ที่นั่นควรเตรียม Universal Adapter (หัวแปลงปลั๊กไฟ) ไปด้วย
น้ำประปาที่สเปนสามารถดื่มจากก๊อกน้ำได้
เมืองหลวงชื่อว่า เซบียา หรือ เซวิลล์ (สเปน: Sevilla; อังกฤษ: Seville) เป็นแคว้นที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เเละมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในจำนวนแคว้นปกครองตนเอง 17 แห่งที่ประกอบขึ้นเป็นประเทศสเปน
มีนักท่องเที่ยวมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในยุโรปเพื่อมาท่องเที่ยวชมความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มีอยู่มากมายหลายเเห่งด้วยกัน เเละเเต่ละประเทศในยุโรปนั้นก็มีความงดงามของสถาปัตยกรรม เเละวิถีชีวิตของผู้คนที่ไม่เหมือนกัน
โดยประเทศทางตอนใต้ของยุโรปอย่างสเปนนั้น นับได้ว่ามีความสวยงาม เเละน่าสนใจมาเที่ยวชมอย่างมาก เเละสำหรับแหล่งท่องเที่ยวอีกหนึ่งเมืองที่น่ามาเที่ยวชม นอกจากเมืองใหญ่อย่างมาดริดที่เป็นเมืองหลวง เเละบาร์เซโลนา เเล้ว ก็เห็นจะเป็นเมืองเก่าเเก่อย่าง เซบียา ที่มีความสวยงาม เเละน่าจะมาเที่ยวชมซักครั้งหากมีโอกาส เพราะเมืองเเห่งนี้มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องกับนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ของโลกอย่างคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เเละมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่สวยงาม เเละน่าจะสร้างความประทับใจได้อย่างเเน่นอน
เซบียา (Sevilla) เป็นเมืองเก่าเเก่ทางตอนใต้ของสเปน บนฝั่งเเม่น้ำกวาดัลกีวีร์ โดยในอดีตนั้นมีชื่อเรียกว่า เซบียาโนส เป็นเมืองหลวงของแคว้นปกครองตนเองอันดาลูเซีย ซึ่งในปัจจุบันนั้นกลายมาเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เเละวัฒนธรรมที่สำคัญของสเปนทางตอนใต้ เพราะด้วยพรมเเดนที่อยู่ติดกับทวีปแอฟริกาผ่านทางประเทศโมร็อกโกเเล้ว ที่นี่ก็นับได้ว่าเป็นตัวเเทนของสเปนชั้นดี เพราะหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่เป็นตัวเเทนของสเปนไม่ว่าจะเป็นเหล้าเชอรี่ชั้นดี วัวกระทิงที่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญของสเปน รวมทั้งการเต้นระบำฟลามิงโกล้วนอยู่ที่เมืองนี้ เมืองที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสเปน เเละมีทั้งสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามเเปลกตา เเละบ่งบอกถึงที่มาที่ไปทางประวัติศาสตร์ของเมือง รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มีความสวยงาม เเละช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมอย่างมากเลยทีเดียว ทำให้เซบียาทุกวันนี้คึกคักไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวจากหลายๆ ชาติที่เข้ามาหาความเป็นสเปนอย่างเเท้จริงที่เมืองเก่าริมทะเลเเห่งนี้
จะว่าไปเเล้วเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากมายกว่าหนึ่งล้านกว่าคนอย่างเซบียานั้น เคยผ่านการเเย่งชิง เเละการครอบครองของหลายชาติอย่างมาก เพราะภูมิประเทศที่อยู่ในส่วนของรอยต่อระหว่างวัฒนธรรมยุโรป เเละเเอฟริกา ทำให้ที่นี่เคยถูกปกครองด้วยชนชาติแอฟริกา หรือจะเป็นชนชาติที่เข้มเเข็งของโลกยุคโบราณอย่างโรมันรวมทั้งวิสิโกธ เเละอาหรับอีกด้วย ก่อนที่พระนางอิซซาเบลลาที่ 1 กับพระเจ้าเฟอร์ดินานจะยกกองทัพเข้ามาโจมตี เเละยึดครองเซบียาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสเปนในปี ค.ศ.1448
ซึ่งทำให้เมืองเเห่งนี้ทิ้งร่องรอยเเห่ วัฒนธรรมของผู้ปกครองในเเต่ละยุคสมัยเอาไว้ จนมันช่างดูกลมกลืน เเละมีความสวยงามอย่างมากของงานสถาปัตยกรรม เเละสร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองเเห่งนี้ โดยเซบียานั้นอยู่ห่างจากกรุงมาดริดไปทางตอนใต้เป็นระยะทางประมาณ 530 กิโลเมตร
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซบียา (Sevilla) สถานที่ไฮไลท์ที่ใครมาเเล้วจะต้องไม่พลาดในการมาเที่ยวชมก็คือ มหาวิหารประจำเมือง (Cathedral de Sevilla) ซึ่งเเต่เดิมนั้นวิหารคริสต์เเห่งนี้เคยใช้เป็นมัสยิดมาก่อน อย่างที่ได้กล่าวไปเเล้วเมืองเเห่งนี้เปลี่ยนผู้ปกครองมาหลายชนชาติ ก่อนที่ชาวคริสต์จะเข้าครอบครอง เเละสร้างโบสถ์ขนาดใหญ่ขึ้นมาโดยมี หอระฆัง Giralda ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก เพราะว่ามันมีสถาปัตยกรรมในเเบบอาหรับที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้
โดยจากการที่มีการสร้างต่อเติมกันหลายต่อหลายครั้งทำให้ที่นี่กลายมาเป็นมหาวิหารเเบบโกธิคที่มีขนาดใหญ่อย่างมากเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เเละได้รับการจัดอันดับว่าเป็นมหาวิหารที่มีความใหญ่โตโออ่าเป็นอันดับ 3 ในคริสตจักร โดยเป็นรองก็เพียงมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่วาติกัน เเละมหาวิหารที่ลอนดอนเท่านั้นเอง เเละที่สำคัญนั้นที่นี่เป็นที่ฝังศพของยอดนักเดินเรือชื่อก้องโลกอย่างโคลัมบัสอีกด้วย ซึ่งภายในนั้นจะมีรูปปั้นของเขา พร้อมกับโมเดลเรือของเขาที่ใช้ในการค้นพบทวีปใหม่อย่างอเมริกา
ไหนๆ เมืองเซบียาก็เป็นสถานที่พักพิงเเหล่งสุดท้ายของยอดนักเดินเรือของโลกเเล้ว เราจะมาทำความรู้จักกับ โคลัมบัสกันซักหน่อย โดยเขามีชื่อเต็มๆ ว่า “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” ในการเรียกเเบบภาษาอังกฤษ เเต่สำหรับสเปนเเล้วจะเรียกว่า “กริสโตบัล โกลอน” หรือ “คริสโตโฟรุส โกลุมบุส” เขาเกิดในปี ค.ศ.1451 ที่เมืองเจนัวในอิตาลี ด้วยความที่เกิดเมืองริมทะเลอย่างเจนัวทำให้เขามีทักษะของนักเดินเรืออย่างสมบูรณ์ทั้งการเดินเรือ การดูเเผนที่ เเละการสำรวจ เขาเฝ้าฝันอยากจะเดินทางออกทะเลไปสู่โลกกว้างที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อน เเละหนังสือการเดินทางของ มาร์โค โปโล ก็เหมือนกับจุดประกายความฝันให้กับเขาในการวางเเผนการเดินทางไปสู่อินเดียให้จงได้ เขาพยายามวางเเผนการเดินทางในยุคที่ใครๆ ก็คิดว่าโลกยังเเบน เขาได้นำโครงการเดินเรือสำรวจไปเสนอต่อราชสำนักโปรตุเกส เพื่อขอทุนสนับสนุนในการเดินทาง เเต่ก็โดนปฎิเสธเพราะมันดูเพ้อฝันจนเกินไป เเละนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของโปรตุเกสก่อนที่ราชสำนักสเปนจะให้การสนับสนุนเขาในการสร้างกองเรือเพื่ออกสำรวจเเผ่นดินใหม่ในสมัยของพระเจ้าเฟอร์ดินานที่ 5 เเละสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 เเละการเดินทางออกทะเลครั้งเเรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1492
โดยเขาตั้งใจจะไปพบกับหมู่เกาะญี่ปุ่น เเต่ดันไปอีกทางจนไปพบกับหมู่เกาะบาฮามาส เเละตั้งชื่อมันว่า ซานซัลบาดอร์ เเละอเมริกา เเล้วประกาศให้ดินเเดนเหล่านั้นเป็นอาณานิคมของสเปน เขากลับมาสเปนอย่างยิ่งใหญ่ในเรื่องของการค้นพบทวีปใหม่ เเละเเผ่ขยายอิทธิพลทางทะเลให้กับสเปน จนสามารถออกเรือสำรวจได้อีกสามครั้งถัดมา ซึ่งทำให้ค้นพบหมู่เกาะเกรตเตอร์แอนทิลลีส เเละเลสเซอร์แอนทิลลีส รวมทั้งชายฝั่งทะเลแคริบเบียนของเวเนซุเอลา เเละทวีปอเมริกากลาง เเต่จนเเล้วจนรอดก็ไม่ค้นพบดินเเดนเเห่งเครื่องเทศ เเละทองคำตามที่ตั้งใจไว้เสียที เขาต้องโดนราชสำนักปฎิเสธการออกเดินเรือครั้งที่ 4 ทำให้ต้องจบชีวิตลงอย่างเดียวดายในไร่ที่เมืองเซบียาเเห่งนี้ ปิดตำนานนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่
นอกจากนี้เเล้วที่เมืองเซบียายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายหลายเเห่งด้วยกันทั้งในส่วนของ พระราชวังที่มีศิลปะในเเบบอาหรับอย่าง Alcázar ที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป เเละยังสามารถใช้งานได้ปกติทั้งหมดอีกด้วย อีกทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ถือว่าเป็นเเหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมกันอย่างมากมายในเเต่ละวัน
นอกจากนี้เเล้วก็ยังมีหอคอยที่ตั้งอยู่ริมเเม่น้ำกวาดัลกีวีร์อย่าง Torre de Oro ที่มีความสวยงามโดดเด่นด้วยสีทองเมื่อเเสงตกกระทบเเล้วจะเกิดเป็นภาพที่สวยงาม เเถมยังเป็นหนึ่งในเเลนด์มาร์คของเมืองเซบียา นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถชมวิวที่เเสนจะสวยงามของเมืองเซบียา เเละท้องทะเลได้อย่างทั่วถึง เเละมันก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย แล้วเมื่อเดินออกมาจากพระราชวัง Alcázar ก็จะพบกับลานกว้างๆ ที่มีความสวยงาม เเละเเสดงถึงความเก่าเเก่ โดยที่นี่จะเชื่อมต่อไปยังมหาวิหารประจำเมือง เเละจะมีรถม้าไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม เเละน่าสนใจอีกเเห่งของเมืองเซบียาก็น่าจะเป็นสนามสู้วัวกระทิง ที่มีความเก่าเเก่ เเละก็ยังเปิดทำการสู้วัวกระทิงอยู่ เเม้จะได้รับการร้องเรียนจากบรรดาผู้รักสัตว์ทั้งหลายเเล้วก็ตามโดยที่สนามด้านหน้านั้นจะมีรูปปั้นของทั้งมาทาดอร์ที่มีชื่อเสียงในอดีตหลายต่อหลายคน เเละรูปวัวกระทิง โดยการสู้วัวกระทิงของสเปนนั้นเปรียบเหมือนศิลปะอย่างหนึ่งที่มีความสวยงาม เเละความเเข็งเเกร่งอยู่ภายในตัว
เเละสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญอีกเเห่งของเมืองเซบียาก็เห็นจะเป็นในส่วนของPlaza de España ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมือง ที่ในเมืองสำคัญของสเปนเเทบจะทุกเมืองจะมีจตุรัสเเห่งนี้ตั้งอยู่ โดยเป็นจัตุรัสที่มีความเก่าเเก่สวยงาม เเละมีความสง่างามเป็นอย่างมากเลยทีเดียว โดยที่นี่เป็นจุดที่ชาวเซบียามาทำกิจกรรมต่างๆ กันอย่างมากมาย เเละที่สำคัญที่สุดก็คือบริเวณจัตุรัสเเห่งนี้นั้นเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์มาหลายภาคเเล้วด้วย นับว่าเป็นอีกหนึ่งในการย้อนรอยภาพยนตร์ชื่อดังเลยก็ว่าได้
สำหรับการเเสดงขึ้นชื่อเมื่อคุณมาเที่ยวเมืองเซบียาเเล้วจะพลาดมาชมไม่ได้เลยก็คือ ระบำฟลามิงโก ซึ่งเป็นการเเสดงประจำชาติอีกอย่างของสเปน โดยการเเสดงเเบบนี้นั้นผู้หญิงจะสวมชุดกระโปรงยาวที่มีลักษณะเป็นพุ่มๆ บานๆ เเละออกมาเต้นย่ำเท้าแรงๆ เป็นจังหวะที่รับกับการร้อง เเละเสียงกีตาร์สเปนที่สร้างความคึกครื้นสนุกสนานเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นอีกไฮไลท์ของเมืองเซบียาที่ไม่ควรพลาดหากมีโอกาสมาเที่ยวเมืองนี้
เมืองมรดกโลก เมืองมรดกโลกที่ครั้งหนึ่งในอดีตมีความรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นเมืองแห่งการปกครองของโลกตะวันตก เป็นอีกเมืองหนึ่งของสเปนที่มีศิลปะของชาวมัวร์โบราณ เเละสุเหร่าที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง กอร์โดบาก่อตั้งขึ้นในสมัยโรมันโบราณในชื่อ กอร์ดูบา (Corduba) เมืองเก่ายังคงมีสถาปัตยกรรมน่าประทับใจหลายแห่งที่ย้อนไปเมื่อครั้งเมืองนี้เป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรกาหลิบแห่งกอร์โดบาของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมเคยปกครองพื้นที่เกือบทั้งหมดในคาบสมุทรไอบีเรียประมาณกันว่าเมืองกอร์โดบา ซึ่งมีประชากรถึง 500,000 คนในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกรองจากคอนสแตนติโนเปิล
The Mosque–Cathedral of Córdoba มหาวิหาร เเละอดีตมัสยิดใหญ่แห่งกอร์โดบา สิ่งปลูกสร้างที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่สำคัญ เเละเป็นหนึ่งในมรดกโลก ตั้งอยู่ที่ประเทศสเปน ในเริ่มแรกสถาปัตยกรรมนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นมหาวิหารคาทอลิก
The Catholic Basilica of Saint Vincent of Lérins ในปี ค.ศ.711 สเปนถูกรุกรานโดยชาวมุสลิมบนคาบสมุทรไอบีเรีย มหาวิหารจึงถูกเปลี่ยนเป็นครึ่งโบสถ์ครึ่งมัสยิด ต่อมาได้ถูกปรับเปลี่ยนกลายเป็นมัสยิดแห่งกอร์โดบาเข้ามาแทนที่โดยการซื้อของประมุขอับดุลเลาะห์ the Emir 'Abd al-Rahman ซึ่งมัสยิดแห่งนี้ถือได้ว่าแสดงถึงความยิ่งใหญ่ เเละเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรกาหลิบแห่งกอร์โดบา เเละถือได้ว่าใหญ่เป็นอันดับสองของเหล่ามัสยิดระดับโลกเลยทีเดียว
ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ กิบลัต ทิศที่ชาวมุสลิมหันหน้าไปยามละหมาด เเละขอดุอาอ์นั้นไม่ได้ชี้ไปยังทิศของนครมักกะฮ์แต่ว่าชี้ไปยัง 51 องศาทางใต้ของทิศที่เป็นที่ตั้งนครมักกะฮ์ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าที่ตั้งที่ติดกับแม่น้ำกวาดัลกีบีร์ จึงไม่สามารถทำการขยายการก่อสร้างออกไปทางทิศใต้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วชาวสเปนได้ยึดครองมัสยิดแห่งนี้กลับมาเป็นมหาวิหารดังเดิม ในปีค.ศ.1236 กลายเป็นโบสถ์ที่มีความผสมผสานจากศิลปะหลายรูปแบบรวมถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาอีกด้วย เเละมัสยิดกอร์โดบาก็ได้กลายสภาพมาเป็นโบสถ์ตามคำสั่งของมุขนายก โลเป เด ฟีเตโร (มุขนายกคนแรกของมหาวิหารกอร์โดบา)
ในปี ค.ศ. 1523 เริ่มการก่อสร้างโบสถ์ในส่วนกลางของมัสยิดโดยใช้รูปแบบปลาเตเรสโก (Plateresco) ในภาษาสเปน "ปลาตา" (plata) หมายถึงแร่เงิน ส่วนคำว่า "ปลาเตเรสโก" ต้องการสื่อถึงตามวิถีทางของช่างเงิน มหาวิหารกอร์โดบาถือได้ว่ามีความสำคัญมากต่อกอร์โดบา เเละสถาปัตยกรรมอัลอันดะลุสเช่นเดียวกับอาลัมบรา (Alhambra) สถานที่แห่งนี้จึงน่ามาท่องเที่ยวเพื่อชมความยิ่งใหญ่ เเละความน่าสนใจของประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งโดดเด่นภายในก็คือรูปโค้งแถบแดงที่สวยงามแปลกตานั่นเอง
ส่วนตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 738 เมตร จากระดับน้ำทะเล จังหวัดกรานาด้าอยู่ใน แคว้นปกครองตนเองอันดาลูเซีย ของประเทศสเปน
นอกจากนี้แล้วเมืองกรานาด้ายังเป็นที่รู้จักกันดีในสเปน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยกรานาด้าอันทรงเกียรติ รวมทั้งสีสันของชีวิตในยามกลางคืน ซึ่งจริงๆ แล้วกล่าวกันว่าเมืองนี้เป็นหนึ่งในสามเมืองที่ดีที่สุดสำหรับเหล่านักศึกษา (อีกสองเมืองคือซาลามังกา เเละซานตีอาโกเดกอมโปสเตลา)
สำหรับเสน่ห์ของเมืองกรานาด้านั้น แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของเมือง โดยเฉพาะป้อมปราการ เเละพระราชวังอาลัมบรา (Alhambra) พระราชวังแขกมัวร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เเละถือว่าเป็นพระราชวังเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในทวีปยุโรป ปัจจุบันป้อมปราการ เเละพระราชวังอาลัมบราเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมรดกทางประวัติศาสตร์ของมุสลิม ยิว เเละคริสต์ เเละยังทำให้เมืองนี้เป็นจุดสนใจในบรรดาเมืองท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของสเปนเป็นอย่างมาก
พระราชวังอาลัมบรานี้สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ สุลต่านมุฮัมมัดที่ 1 อิบน์ นัสร์แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า"อาลัมบรา" มาจากคำในภาษาอาหรับว่า "อัลฮัมรออ์" (Al-Ḥamrā) แปลว่า "(สิ่ง) ที่มีสีแดง" เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน เเละอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่นๆ
ซึ่งสร้างโดยใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็จะเห็นเป็นสีออกแดงๆ เช่นกัน สถาปัตยกรรมของพระราชวังอาลัมบรามีความโดดเด่นด้วยลายแกะสลักอย่างละเอียด เเละประณีต ทั้งผนัง เสา เพดาน โค้งซุ้มประตูต่างๆ ล้วนแกะสลักอย่างละเอียด นับเป็นงานศิลป์ชั้นยอดของชาวมัวร์ในยุคนั้น
นอกจากชื่อเสียงในเรื่องโบราณสถานที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองแล้วนั้นดูเหมือนกิจกรรมท่องเที่ยวอีกหนึ่งอย่างที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากก็คือ การไปเดินช้อปปิ้งในย่านสตรีทมาร์เก็ต (Street Markets) หรือ Flea Market ซึ่งเปิดทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. สินค้าส่วนใหญ่จะเน้นแนวสินค้าพื้นเมือง อันได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ภาพวาด เฟอร์นิเจอร์เก่า รวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็สามารถหาซื้อได้ที่ตลาดแห่งนี้
มาลากา เมืองชายทะเลที่มีสีสัมมากในแคว้นอันดาลูเซีย เป็นบ้านเกิดของจิตรกรชื่อก้องโลกปิกัสโซ่ ทำให้เปี่ยมไปด้วยขนบธรรมเนียม พลังงาน เเละความลุ่มหลงจักรวรรดิฟินิเชีย โรมัน มัวร์ เเละคริสเตียน ต่างประทับร่องรอยทิ้งไว้ในมหานครอันจอแจแห่งนี้ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่หกของสเปน
เมืองนี้ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในหัวเมืองที่สำคัญมากที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรปตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อตั้งโดยชาวฟินิเซียน ต่อมาโรมันเข้ามาครอบครอง ต่อมาก็เป็นพวกแขกมัวร์ แล้วก็กลับมาสู่การครอบครองของชาวคริสต์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าสถาปัตยกรรมของเมืองนี้จะเป็นแบบผสมผสาน ทั้งแบบแขก แบบโรมัน แบบคริสต์
หากลองได้สำรวจตามถนนหนทางอันลดเลี้ยวในย่านเมืองเก่าของมาลากาผ่านสวน Paseo del Parque ที่มีต้นปาล์มเรียงรายสู่โบราณสถานที่ล้ำค่าของมาลากา เเละวิหารมาลากาอันสำคัญ เยือนป้อมปราการ Alcazaba เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์มัวร์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 บนหุบเขาใจกลางเมืองมาลากา ซึ่งสามารถมองเห็นวิวรอบๆ เมือง ได้อย่างสวยงาม สามารถเดินตามทางต่อไปสู่สถานที่สำคัญอย่าง ปราสาท Castillo de Gibralfaro เป็นปราสาทสไตล์มัวร์อีก 1 แห่งในมาลากา ซึ่งสามารถเห็นเมืองได้อย่างสวยงามรวมถึงพื้นที่โดยรอบที่มอบวิวเหนือทะเลอัลโบรันซึ่งเปิดไปสู่โมร็อกโก
เมืองชายทะเลแห่งนี้จัดได้ว่าเป็นเมืองที่คึกคักมากเมืองหนึ่งเพราะมีท่าเรือพาณิชย์เป็นที่จอดเรือเดินสมุทรทั้งหลายอยู่ห่างจากช่องแคบยิบรอลต้าประมาณ 100 กิโลเมตรเท่านั้น เนื่องจากเป็นชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้เมืองท่าเรือแห่งนี้มีแสงแดดเกือบตลอดปี ฤดูร้อนทางตอนใต้ของสเปนอาจมีอากาศร้อนจัด แต่ก็มีอาหารรสเลิศ เช่น อาโดโบ (ปลาหมักซอสไวน์) กัซปาโช (ซุปมะเขือเทศเย็น) หรือเปสไคโต ฟรีโต (ปลาทอด)
สำหรับเที่ยวชม เเละเยี่ยมเยือนสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีอยู่มากมายในตัวเมืองไม่ว่าจะเป็นบ้านเกิดของปีกัสโซ (Casa Natal Picasso) ที่อยู่ในจัตุรัส Merced ตลอดจน พิพิธภัณฑ์ปีกัสโซมาลากาที่อยู่ไม่ไกล
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นมากกว่า 30 แห่งจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ เเละประวัติศาสตร์ ทั้งยังมีการแสดงสำหรับผู้ชมทั่วไปบ่อยครั้งอีกด้วย ยามบ่ายแก่ๆ ศิลปะรูปปั้น "มีชีวิต" แนวสตรีทอาร์ตจะมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชนตามถนนสาย ช้อปปิ้ง เเละลานต่างๆ งานเทศกาลมากมายรวมถึง Semana Santa ในวันอีสเตอร์ เเละ Feria de Málaga ในเดือนสิงหาคม